เมนู

สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ 5
เรื่องพระอุทายี


[421] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ ณ พระ-
เชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล
ท่านพระอุทายีเป็นพระกุลุปกะในพระนครสาวัตถี เข้าไปสู่สกุลเป็นอันมาก
ที่ตนเห็นว่ามีแก่ชายหนุ่มน้อยยังไม่มีภรรยา หรือเด็กหญิงสาวน้อยยังไม่มี
สามี ย่อมพรรณนาคุณสมบัติของเด็กหญิงสาวน้อยในสำนักมารดาบิดา
ของเด็กชายหนุ่มน้อยว่า เด็กหญิงสาวน้อยของสกุลโน้น มีรูปงาม น่าดู
น่าชม คมคาย มีแววฉลาด มีไหวพริบดี ขยัน ไม่เกียจคร้าน เด็ก
หญิง สาวน้อยนั้นสมควรแก่เด็กชายหนุ่มน้อยนี้ มารดาบิดาของเด็กชาย
หนุ่มน้อยกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า คนเหล่านั้นไม่รู้จักพวกข้าพเจ้าว่า
เป็นใคร หรือเป็นพรรคพวกของใคร ท่านเจ้าข้า ถ้าพระคุณเจ้ากรุณา
พูดทาบทามให้ พวกข้าพเจ้าจะสู่ขอเด็กหญิงสาวน้อยนั้นมาให้แก่เด็ก
ชายหนุ่มน้อยนี้ และพรรณนาคุณสมบัติของเด็กชายหนุ่มน้อยในสำนัก
มารดาบิดาของเด็กหญิงสาวน้อยว่า เด็กชามหนุ่มน้อยของสกุลโน้น มี
รูปงาม น่าดู น่าชม คมคาย มีแววฉลาด มีไหวพริบดี ขยัน ไม่
เกียจคร้าน เด็กชายหนุ่มน้อยนั้นสมควรแก่เด็กหญิงสาวน้อยนี้ มารดา
บิดาของเด็กหญิงสาวน้อยกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า คนเหล่านั้นไม่
รู้จักพวกข้าพเจ้าว่าเป็นใคร หรือเป็นพรรคพวกของใคร ฝ่ายหญิงจะ
พูดชมว่า ดู ๆ ก็อยู่ ท่านเจ้าข้า ถ้าพระคุณเจ้ากรุณาช่วยพูดให้เขา
สู่ขอ พวกข้าพเจ้าจะยอมยกเด็กหญิงสาวน้อยนี้แก่เด็กชายหนุ่มน้อยนั้น
โดยอุบายนี้แล ท่านพระอุทายีให้มารดาบิดาของเจ้าหนุ่มเจ้าสาวทำอาวาห-
มงคลบ้าง วิวาหมงคลบ้าง พูดให้สู่ขอกันบ้าง.

[422] สมัยต่อมา ธิดาของสตรีหมายคนหนึ่ง มีรูปงาม น่าดู
น่าชม พวกสาวกของอาชีวกชาวบ้านอื่น มาพูดกะสตรีหมายนั้นดังนี้ว่า
ข้าแต่แม่ ขอแม่จงกรุณายกเด็กหญิงสาวน้อยนี้ให้แก่เด็กชายหนุ่มน้อยของ
พวกข้าพเจ้าเถิด
สตรีหมายนั้นตอบดังนี้ว่า คุณขา ดิฉันไม่ทราบว่า พวกคุณเป็นใคร
หรือเป็นพรรคพวกของใคร อนึ่งเล่า เด็กหญิงสาวน้อยนี้ ก็เป็นธิดา
คนเดียวของดิฉัน และจะต้องไปอยู่บ้านอื่น ดิฉันจะยกให้ไม่ได้
คนทั้งหลายซักถามสาวกของอาชีวกเหล่านั้นว่า ท่านทั้งหลายมา
ธุระอะไร
พวกสาวกของอาชีวกชี้แจงว่า พวกข้าพเจ้ามาขอธิดาของหญิง
หมายชื่อโน้น ในตำบลบ้านนี้ให้เด็กชายหนุ่มน้อยของพวกข้าพเจ้า นาง
ตอบอย่างนั้นว่า คุณขาดิฉันไม่ทราบว่า พวกคุณเป็นใคร หรือเป็นพรรค
พวกของใคร อนึ่งเล่า เด็กหญิงสาวน้อยนี้ก็เป็นธิดาคนเดียวของดิฉัน
และจะต้องไปอยู่บ้านอื่น ดิฉันจะยกให้ไม่ได้
คนพวกนั้นแนะนำว่า พวกคุณไปขอธิดาต่อหญิงหม้ายนั้นทำไม
ไปพูดกะท่านพระอุทายีหรือ ท่านพระอุทายีจักช่วยพูดให้เขายกให้เอง
จึงพวกสาวกของอาชีวกเหล่านั้นเข้าไปหาท่านพระอุทายี ครั้นแล้ว
ได้เรียนท่านพระอุทายีว่า ข้าแต่พระคุณเจ้า พวกข้าพเจ้าขอธิดาของ
หญิงหม้ายชื่อโน้นในบ้านนี้ให้แก่เด็กชายหนุ่มน้อยของพวกข้าพเจ้า นาง
ตอบอย่างนี้ว่า คุณขา ดิฉันไม่ทราบว่า พวกคุณเป็นใคร หรือเป็น
พรรคพวกของใคร อนึ่งเล่า เด็กหญิงสาวน้อยก็เป็นธิดาคนเดียวของ
ดิฉัน และจะต้องให้อยู่บ้านอื่น ดิฉันจะยกให้ไม่ได้ ข้าแต่พระคุณเจ้า

ขอพระคุณเจ้าได้โปรดช่วยพูดให้หญิงหม้ายนั้น อมยกธิดาให้แก่เด็กชาย
หนุ่มน้อยของพวกข้าพเจ้าด้วยเถิด
ลำดับนั้น ท่านพระอุทายีเข้าไปหาสตรีหม้ายนั้น ครั้นแล้วได้ถาม
สตรีหม้ายนั้นว่า ทำไมเธอจึงไม่ยอมยกธิดาให้แก่คนเหล่านั้นเล่า
สตรีหม้ายนั้นตอบว่า เพราะดิฉัน ไม่ทราบว่า คนเหล่านั้นเป็นใคร
หรือเป็นพรรคพวกของใคร อนึ่งเล่า เด็กหญิงสาวน้อยนี้เป็นธิดาคนเดียว
ของดิฉัน และจะต้องไปอยู่บ้านอื่น ดิฉันจึงไม่ยอมยกให้เจ้าค่ะ
อุ. จงให้แก่คนเหล่านั้นเถิด คนเหล่านี้ฉันรู้จัก
ส. ถ้าพระคุณเจ้ารู้จัก ดิฉันยอมยกให้เจ้าค่ะ
จึงสตรีหม้ายนั้นได้ยกธิดาให้แก่สาวกของอาชีวกเหล่านั้น ครั้น
พวกสาวก องอาชีวกเหล่านั้น นำเด็กหญิงสาวน้อยนั้นไปแล้ว ได้เลี้ยงดู
อย่างสะใภ้ชั่วเดือนเดียวเท่านั้น ต่อแต่นั้นก็เลี้ยงดูอย่างทาสี

สาวน้อยร้องทุกข์


[423] ต่อมา สาวน้อยนั้นส่งทูตไปในสำนักมารดาว่า ดิฉัน
ตกทุกข์ได้ยาก ไม่ได้รับความสุข พวกสาวกของชีวกได้เลี้ยงดูดิฉัน อย่าง
สะใภ้ชั่วเตือนเดียวเท่านั้น ต่อแต่นั้นมาก็เลี้ยงดูอย่างทาสี ขอให้คุณแม่
ดิฉันมารับดิฉันไป
พอทราบข่าว สตรีหม้ายนั้นจึงเข้าไปหาพวกสาวกของอาชีวก ครั้น
แล้วได้กล่าวดังนี้ว่า ท่านทั้งหลายโปรดอย่าเลี้ยงดูสาวน้อยนี้อย่างทาสี
โปรดเลี้ยงดูอย่างสะใภ้เถิดเจ้าค่ะ
สาวกของอาชีวกเหล่านั้นกล่าวอย่างนี้ว่า พวกเราไม่ได้รับรองและ
ตกลงไว้กับท่าน พวกเรารับรองและตกลงไว้กับสมณะต่างหาก ท่าน
จงไป เราไม่รู้จักท่าน